เทศน์บนศาลา

ธรรมะไร้พรหมแดน

๕ ก.ย. ๒๕๕o

 

ธรรมะไร้พรมแดน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๐
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจนะ คุณค่าของธรรมะ ธรรมะนี้มีคุณค่ามาก ถ้าเป็นธรรมแท้ๆ มีคุณค่ามหาศาลเลย แล้วดูสิ เราเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมกัน เราขวนขวายนะ เราต้องการสิ่งที่เราได้ประสบ เห็นไหม ภาชนะที่ใส่ธรรมคือหัวใจ ถ้าหัวใจได้สัมผัส มันได้สัมผัส มันมีความรู้สึกนะ มันจะมีความสุข นี่เป็นความสุข เป็นวิมุตติสุข สัจจะความจริงคือพ้นจากการเป็นหนี้ไง

ดูสิ อธิปไตย สิ่งที่เป็นอธิปไตยมันต้องมีพรมแดน มันต้องมีสถานที่ตั้ง ถึงเป็นชาติ ถึงเป็นประเทศ ถึงมีอธิปไตย ถ้าเป็นอธิปไตย มันมีพรมแดนของมัน ถ้าไม่มีพรมแดน มันจะมีเป็นอธิปไตยได้อย่างไรล่ะ ดูเวลาเขารักษากัน เขามีประเทศ เขามีชาติ แล้วเขาก็มีสงคราม เขาก็มีการรักษากัน เป็นทุกข์เป็นยากนะ แล้วอธิปไตยทางอะไรล่ะ? อธิปไตยทางชาติ อธิปไตยทางความมั่นคง อธิปไตยทางเศรษฐกิจ แล้วถ้าเป็นชีวิตของเราล่ะ ทิฏฐิมานะ เรามีตัวตน ความเป็นตนนี่แหละเป็นอธิปไตย ทำความเป็นตนนี่มันเป็นพรมแดน สิ่งที่เป็นพรมแดนในหัวใจ มันยึดมั่นถือมั่นนะ แล้วมันทุกข์ มันทุกข์เพราะมันไม่รู้ มันไม่รู้เลยนะ

โลกมันเป็นสมมุตินะ เรามองไปตั้งแต่สมัยโบราณมา มันเป็นแว่นแคว้น ใครมีกำลังเหนือกว่า ใครมีกำลังมากกว่า เขาไปกวาดต้อนกัน ไปกวาดต้อนทรัพยากร ไปกวาดต้อนมนุษย์ ทรัพยากรมนุษย์เมื่อก่อนนี้สำคัญมาก เพราะการรบทัพจับศึกนี่ใช้คนทั้งนั้น เพราะมันไม่มีเทคโนโลยี มันยังไม่มีในการปกครอง ความสะดวกสบาย เครื่องยนต์กลไกยังไม่มี ใช้มนุษย์ทั้งนั้น เห็นไหม ใครมีมนุษย์ มีคนมากกว่า กำลังมากกว่า เขาได้รุกรานง่ายกว่า นี่มันเป็นสมมุติ มันเป็นสมมุติจากภายนอก แต่มันก็เป็นความทุกข์ความยากนะ นี่รักษากัน เห็นไหม แต่มันก็เป็นยุคเป็นสมัยมา

ดูทางประวัติศาสตร์ ชนชาติต่างๆ เป็นแว่นเป็นแคว้นมา เพิ่งมาเป็นประเทศชาติ เพราะความสมบูรณ์ของทางวิทยาศาสตร์นี่แหละ มันเพิ่งเขียนแผนที่ได้ มันเพิ่งแบ่งแยกเป็นประเทศได้ พอเป็นประเทศแล้วเดี๋ยวก็แตก เดี๋ยวก็รวมกัน ดูสิ เขตเศรษฐกิจพิเศษ นี่คนละชาติ แต่พยายามจะรวมกันให้เป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นมา เห็นไหม นี่สมมุติทั้งนั้น สมมุติอย่างนี้สมมุติขึ้นมาโดยที่เราก็เห็นๆ แต่เราก็อยู่กับโลกนะ แล้วเราจะเกิดจะเวียนจะตายไปอย่างนี้

โลกต่อไปจะเป็นตลาดเดียว ไม่มีเป็นประเทศแว่นแคว้น พอถึงที่สุดแล้วนะ คนเราด้วยทิฏฐิมานะ ด้วยตัณหา ด้วยความอยากใหญ่ ทำสงครามกัน รบราฆ่าฟันกัน เสร็จแล้วไม่มีอะไรเลย รวมเป็นตลาดเดียว ไม่มีเขตเศรษฐกิจ ไม่มีสิ่งต่างๆ ไม่ต้องเสียภาษี ใครจะคิดมากคิดน้อยนะ นี่เรื่องของโลกๆ แล้วเราก็เกิดมาเป็นโลกๆ

“ธรรมะไร้พรมแดน” แต่ก่อนจะไร้พรมแดน ในการประพฤติปฏิบัติ พรมแดนมันอยู่ที่ไหน? พรมแดนมันอยู่ที่การเกิดและการตาย สิ่งที่เกิดที่ตาย อะไรพาเกิดพาตาย เกิดตายเป็นใคร

เรายึดของเรานะ ยึดในตระกูลของเรา ยึดในหมู่คณะของเรา ยึดมาก พอเราเกิดเราตายมันก็เปลี่ยนพรมแดน เปลี่ยนอธิปไตยนะ จากตระกูลหนึ่งไปเกิดอีกตระกูลหนึ่ง เห็นไหม เราเกิดเป็นตระกูลนี้ เรายึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นตระกูลของเรา เราต้องรักษาตระกูลของเรา ตระกูลของเรามีความบาดหมางกับตระกูลใด แล้วเราไปเกิดเป็นคนตระกูลนั้น เราก็กลับมาทำลายตระกูลตัวเองโดยที่เราก็ไม่รู้หรอก เราไม่รู้

ขณะเกิดขึ้นมาแล้วมันมีสายบุญสายกรรม ถ้าไม่มีบุญไม่มีกรรมต่อกัน ไม่มาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน ไม่มีการต่างๆ เกิดขึ้นมา เห็นไหม ถ้าไม่มีอวิชชา ไม่มีสิ่งใดพาเกิด แล้วอะไรมันพาเกิดล่ะ นี่สิ่งที่พาเกิดเราก็มองไม่เห็น

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพยายามค้นคว้าเข้ามา กิจจญาณ ได้การทำลาย ข้ามพรมแดน เราจะทำลายพรมแดนของเรา ทำลายอธิปไตย ทำลายความยึดมั่นถือมั่นด้วยมานะทิฏฐิ สิ่งที่เป็นมานะทิฏฐิ ในการประพฤติปฏิบัติถ้ามันมิจฉาทิฏฐิล่ะ ในการประพฤติปฏิบัติที่ว่าจะเป็นการทำลายพรมแดน มันไปยึดมั่นถือมั่นโดยกิเลส ให้กิเลสประพฤติปฏิบัติ มันเป็นการทำลายพรมแดนที่ไหนล่ะ มันยิ่งปฏิเสธเลยนะ

เราแสวงหา เราเป็นคนที่มีบุญกุศล เราอยากจะพ้นจากทุกข์ นี่การฟังธรรมนะ การฟังธรรมในสมัยพุทธกาล เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เทวดา อินทร์ พรหมบรรลุธรรมเป็นแสนเป็นหมื่น นี่เหมือนกัน เราอยากจะฟังธรรม เราอยากจะมีคนชี้ทาง สัปปายะ ครูบาอาจารย์สำคัญที่สุด คนชี้ทางสำคัญที่สุดนะ

ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะชี้ทางให้ไม่ได้ เห็นไหม ดูสิ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ผู้ที่ต่ำกว่าแก้ผู้ที่สูงกว่าไม่ได้ พระอรหันต์ไม่สามารถแก้อัครสาวกได้ พระอัครสาวกไม่สามารถแก้องค์ศาสดาได้ แก้ไม่ได้หรอก นี่เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เห็นไหม พระอรหันต์แก้อัครสาวกไม่ได้ อัครสาวกเป็นใคร? อัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา นี่ความละเอียดอ่อนอย่างนี้ การที่สร้างบุญญาธิการมามันต่างกันอย่างนี้ไง

ทีนี้เราเป็นสาวก-สาวกะ เห็นไหม ผู้ชี้นำ นี่สัปปายะ ครูบาอาจารย์อันดับ ๑ เพราะครูบาอาจารย์ชี้นำทิศทางที่ถูกต้อง เราไม่รู้ของเราหรอก เราปฏิบัติโดยกิเลสของเรานะ ทั้งๆ ที่เราจะมาปฏิบัติชำระกิเลส เรื่องอธิปไตย เรื่องทิฏฐิ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติด้วยทิฏฐิความเห็นของตัว ความเห็นของตัวนะ นี่เราเห็นต่างจากธรรม

ถ้าเราไม่เห็นต่างจากธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมโดยสมควรแก่ธรรม เราปฏิบัติ พุทโธๆ อานาปานสติ ปัญญาอบรมสมาธิด้วยการพิจารณา จิตมันต้องสงบได้ มันสงบได้ด้วยสัจจะความเป็นจริงของมัน มันต้องทำได้ แต่นี่มันทำด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค...สมุทัย ตัณหาความทะยานอยากมันมีในหัวใจโดยสัจจะความจริง โดยข้อเท็จจริงเลย มันมีของมันอย่างนั้น ถ้าไม่มีอย่างนั้น ไม่มีอธิปไตยหรอก

อธิปไตยคือความยึดมั่น อธิปไตยคือตัวเรา ถ้าไม่มีตัวเรา อะไรเป็นอธิปไตย ความเห็นเป็นตัวเรา อธิปไตยของเรา นี่ยึดมั่นถือมั่น ยิ่งทางโลก เห็นไหม ดูสิ ผู้มีอิทธิพล ขอบเขตอิทธิพลของตัวพยายามรักษาไว้ ทุกข์ทั้งนั้นเลย รักษาไว้เพื่อใคร? ก็รักษาไว้เพื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเวลาปฏิบัติก็ปฏิบัติโดยกิเลส เอากิเลสมาปฏิบัติ ปฏิบัติขึ้นมานี่ทำไม่สมควรแก่ธรรม การประพฤติปฏิบัติมันไม่สะอาด ค่าของความสกปรกในหัวใจมันทำให้เราผิดพลาดออกไป ถึงว่า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม นี่ถ้าเราไม่ปฏิบัติโดยกิเลสนะ

แต่ถ้าปฏิบัติโดยกิเลส ปฏิบัติไป “เราทำขนาดนี้ แล้วใครมันจะทำได้ ใครมันจะรู้ได้ ถ้าเราทำขนาดนี้แล้วไม่รู้ แล้วใครจะรู้”...ความคิดอ่อนแออย่างนี้นะ ถ้าคนเข้มแข็งขึ้นมาจะไม่มีความคิดอย่างนี้หรอก แล้วเวลาปฏิบัติ เราทำของเรา เราทำด้วยมิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิล่ะ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องในการกระทำ เหตุมันถึงสมควร ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันต้องเข้าถึงสัจจะความจริงสิ แต่อันนี้ปฏิบัติโดยกิเลส แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นเรา เห็นไหม นี่อธิปไตย ทำลายตัวเอง

ในอธิปไตย ในแว่นแคว้นต่างๆ เขามีการศึกกัน เพราะว่าเขาต้องมีการบาดหมางกัน แต่นี่ความคิดของเราเอง แล้วมันเหยียบย่ำเราเอง ตัวเราเองทำลายตัวเราเอง เรากลับไม่รู้ตัว เห็นไหม แต่คนที่เขาทำลายกันจากภายนอก เราจะเห็นว่าคนนี้รังแกคนนั้น คนนั้นรังแกคนนั้น มีความบาดหมางกัน แต่ขณะที่ความคิดทำลายตัวเราเอง เพราะเราไม่รู้ เห็นไหม นี่แหละการปฏิบัติที่ผิด

ถ้าครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์มา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สยัมภู ตรัสรู้ด้วยตนเอง การจะตรัสรู้ได้ต้องสร้างบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ สิ่งที่มันมามันจะทำให้ใจสะอาดขึ้นมาได้อย่างไร นี่มันจะทำให้มีมุมมอง

ชาวพุทธเราปฏิญาณตนว่าเป็นชาวพุทธทั้งนั้นเลย นี่ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้าน ชาวพุทธไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรจริงๆ นะ เสร็จแล้วพอปฏิบัติไปไม่ได้ดั่งใจก็ว่า “เถรวาทเป็นการท่องจำ”...ท่องจำนั่นปริยัติ ถ้าเราไม่ท่องจำ เราไม่มีแผนที่เครื่องดำเนินขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ นี่เราเชื่อในปัญญาคุณ เราสวดมนต์ทำวัตร นั่นทำวัตรเพื่อใคร นี่เราสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา

ปัญญาพวกเรานี้ปัญญาโดยกิเลส ถ้าไม่มีแบบอย่างเลย ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ แล้วเราจะไปได้อย่างไร ขนาดมีผู้ชี้นำอย่างนี้ ท่องจำขนาดนี้ ท่องได้แต่ทฤษฎี มันไม่เป็นภาคปฏิบัติขึ้นมา เพราะ “ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ” มันต้องมีการปฏิบัติ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็ท่องจำกันเอง เห็นไหม

ในมหายานเขามองมา เขาบอกว่า ของเขาประพฤติปฏิบัติกัน เขาทำของเขาไป เถรวาทมีแต่สวดมนต์เท่านั้นน่ะ ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ทำกันอยู่นั่น ทำแต่วัตร สวดแต่มนต์ พร่ำเพ้ออยู่อย่างนั้น แต่ไม่ทำความจริงขึ้นมา...นี่เพราะไม่มีครูไม่มีอาจารย์

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นผู้แหวกออกมาจากประเพณีอันนั้น แหวกออกจากประเพณีวัฒนธรรมที่ว่า “ให้เชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เชื่อเราสิ พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่ทำสังคายนามา เชื่อเราสิ เชื่อเราสิ นี่อภิธรรม ต้องเชื่อเราสิ” นี่ท่องจำกันแล้วก็มาปฏิบัติโดยรูปแบบ ปฏิบัติโดยกรอบ มันไม่เป็นปฏิบัติมา เพราะปฏิบัติโดยกิเลส

ในสมัยพุทธกาล พวกเดียรถีย์ นิครนถ์ นี่ก็เป็นศาสดาทั้งนั้น การประพฤติปฏิบัติของเดียรถีย์ นิครนถ์ มันไม่มีมรรค เป็นความเห็นของตัว ตัวคิดอย่างไร ตัวว่าอย่างไร เชื่อตามๆ กันมา เชื่อตามครูบาอาจารย์มา เชื่อตามประเพณีวัฒนธรรมมา เชื่อเพราะตรึกตรรกะ นี่ความเชื่ออย่างนี้นะ

กาลามสูตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ต้องให้พิสูจน์จากการกระทำของเราขึ้นมา

ภาคปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติโดยตรงในหัวใจ นี่ภาคปฏิบัติเป็นสภาวะแบบนี้ ถ้าเป็นสภาวะแบบนี้ อธิปไตยอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่ไหน ความรู้สึกอยู่ที่ไหน แล้วความรู้สึกตัวนี้มันเป็นตัวพาเกิดพาตาย สิ่งนี้มันอยู่ที่ไหน นี่การประพฤติปฏิบัติต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ แล้วมันจะรู้จักอธิปไตยของเรา

โลกนี้คือหมู่สัตว์นะ คนเกิดขึ้นมาโลกหนึ่ง จักรวาลหนึ่งนะ ในจักรวาลคือความรู้สึกของเรา โลกนี้มีเพราะมีเรา แล้วเวลาเกิดตายในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ในวัฏฏะ ๓ วัฏฏะเวียนไป จิตนี้มันเวียนเกิดเวียนตาย เวลามันเกิดตายขึ้นมา มันเปลี่ยนสถานะมันก็เปลี่ยน นี่ซ้ำเลย

เหมือนโลก โลกนี้ในยุคในคราวสมัยต่างๆ ทับซ้อนกัน ทับซ้อนอยู่บนโลกนี้ ฟอสซิลที่ทิ้งไว้ที่เราไปขุดพบ ไปค้นเจอ มันกี่ล้านๆ ปีล่ะ นี่มันเวียนตายเวียนเกิดอยู่นะ มันน่าสังเวช เราน่าสังเวชในชีวิต นี่สังเวชในเรื่องของโลกๆ เรื่องของสิ่งที่มันยังมีกิเลสอยู่ มันต้องขับเวียนตายเวียนเกิดไปอย่างนี้ แต่เราเกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา แล้วมีครูมีอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ถ้าท่านไม่มารื้อค้น นี่ทำไปหัวชนฝานะ หัวชนฝาจริงๆ เพราะมันลึกลับ ลึกลับมาก ดูสิ ปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาตรัสรู้แล้วทอดธุระเลยล่ะ ทั้งๆ ที่สร้างสมบุญญาธิการมาเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ

คนที่สร้างมา เตรียมตัวมาขนาดนั้น แต่เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม มันลึกลับ มันทวนกระแส โลกกับธรรมมันเรื่องตรงข้ามเลย ตรงข้ามกับความรู้ความเห็นความเป็นไปที่จะอธิบายเรื่องทางวิทยาศาสตร์กับโลกเขา แล้วความเป็นจริงล่ะ ความเป็นจริงมันเกิดจากภายใน มันเป็นธรรมะ ธรรมที่ไร้พรมแดน ไร้พรมแดนเพราะเหตุใด ไร้พรมแดนเพราะไม่มีอธิปไตย ไม่มีสถานที่ ไม่มีสิ่งใดๆ เลย แต่มันมีอยู่ได้อย่างไรล่ะ นี่มันเป็นวิมุตติสุข วิมุตติอันนี้มันจะสื่อความหมายกันได้อย่างไร แล้ววิมุตติอันนี้มาจากไหน? มันมาจากปัญญาในอาสวักขยญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในธรรมจักรที่สร้างขึ้นมา ในธรรมจักร ที่ว่า กิจจญาณ สัจจญาณ การกระทำอย่างนี้ แล้วจะไปสอนใครล่ะ เพราะมันพูดกันคนละเรื่องกับทางโลกเขาเลย โลกเขาเป็นสภาวะแบบนั้น

แต่ขณะที่สร้างบุญญาธิการมา แล้ววัฏฏะมันหมุนเวียนมาตั้งแต่เป็นพระเวสสันดร แล้วเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สิ่งที่ขับเคลื่อนมา กระแสสิ่งที่ทำมา “สหชาติ” การเกิดร่วมสมัย เห็นไหม ขนาดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังท้อใจเลย แต่ด้วยบุญญาธิการ ด้วยผู้ที่สร้างมา ในป่าป่าหนึ่ง ไม้เบญจพรรณ มันจะมีพรรณไม้ต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นโทษก็มีในป่านั้น ดูสิ เวลามันเป็นใบไม้แห้ง เครือไม้ต่างๆ เวลาอากาศร้อนจะเป็นไฟลุกขึ้นมา มันจะเกิดไฟป่า เผาป่า ทำลายตัวมันเอง

นี่ก็เหมือนกัน ในการเกิดและการตายในมนุษย์ ในสิ่งต่างๆ ที่เกิดมาในสหชาติ การเกิดขึ้นมาแล้วยังมีว่า “ผู้ใดสมควรแก่ธรรม” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณว่าจะไปรื้อค้นใครก่อน จะไปสอนใครก่อน เพราะมีจริตนิสัย แต่คำว่า “มีจริตนิสัย” นี่เป็นพรรณไม้ จิตดวงนั้น อธิปไตยดวงนั้นเขามีความสนใจ เขามีความอยากออกจากโลก มันต้องมีตัวนั้นเป็นตัวเสริม แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้นำ ไปเทศนาว่าการดึงกลับมา ให้กลับมา ย้อนกลับมา

ดูพระยสะสิ “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ”

มีปราสาท ๓ หลังเหมือนกันนะ นี่มีความสุขนะ ทางโลกทำไมจะไม่มีความสุข ทุกอย่างพร้อมหมด แต่ท่านบอกว่า “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นะ “ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย” เทศนาว่าการ “ทำลายมันซะ ทำลายสิ่งที่ว่า ที่นี่เดือดร้อน” ที่นี่ ที่นี่เดือดร้อน ที่นี่คือหัวใจไง ที่นี่คือที่มันทุกข์ยากไง “ทำลายมันซะ ทำลายมันซะ” พระยสะได้ฟังแล้วเป็นพระโสดาบัน

พ่อออกตามหา แต่ด้วยฤทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบังไว้ก่อน แล้วเทศน์สอนพ่อสอนแม่ พระยสะบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย เพราะใจนี้สร้างมา เพราะใจสร้างสมบุญญาธิการมา สร้างมาร่วมสมัย เป็นสหชาติ คำว่า “สหชาติ” ต้องสร้างบุญญาธิการ ปรารถนากันมา แล้วสร้างคุณงามความดีมา

“กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” กึ่งพุทธกาลนะ ตั้งแต่พระจอมเกล้าฯ ออกรื้อค้น พระจอมเกล้าฯ พยายามจะเข้าไปให้ใกล้

“นี่เถรวาทท่องจำกันมา”...ท่องจำของใครล่ะ มันท่องจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม “ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ” แล้วถ้าทำตามธรรมวินัย ทำตามเข็มทิศเครื่องดำเนินนั้น มันก็ต้องเข้าถึงจุดหมายปลายทางสิ มันต้องเข้าไปถึงที่อธิปไตยนั้น เข้าไปถึงฐานที่ตั้งนั้น ถึงภวาสวะ ถึงภพนั้น ถึงประเทศชาตินั้น เข้าทำลายพรมแดนของมัน ทำลายพรมแดนเป็นชั้นๆ ขึ้นมานะ ถ้าการทำลายโดยมัชฌิมา ความเสมอภาค ความเสมอของความเป็นไป ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ระหว่างกิเลส อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค ให้สมดุลของมันขึ้นมา

นี่สัปปายะ ครูบาอาจารย์ที่ชี้นำ แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมารื้อค้น เป็นผู้บุกเบิกมาให้เรา แล้วเราเกิดร่วมสมัยนะ ทั้งๆ ที่ว่าเราเกิดมาเราไม่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่เราก็เชื่อ เพราะเป็นประวัติศาสตร์ สองพันกว่าปีไม่ไกลหรอก ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ค้นคว้าได้ สิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมต่างๆ มันยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็น นี่เคยมีมนุษย์ เคยมีเมือง เคยมีสถานที่ เคยมีต่างๆ เคยมีทั้งนั้นล่ะ สิ่งที่เป็นวัตถุมันเคยมี แล้วมนุษย์สมัยนั้น สองพันกว่าปีนั้นเคยมีไหม? นี่เคยมีสิ่งที่สะสมกันมา

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว แต่สิ่งที่หลวงปู่มั่นรื้อค้นไว้ แล้วสืบต่อกันมาจากครูบาอาจารย์เรา สืบต่อกันมา ผู้ชี้นำ เห็นไหม นี่สิ่งที่เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ การประพฤติปฏิบัติมีความเห็นร่วมกัน เรามาด้วยกัน เราพยายามมาเป็นสังฆะ บวชขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อจะพ้นจากทุกข์ เพื่อจะให้เห็นสถานที่ของเรา ให้เห็นประเทศของเรา ให้เห็นภพชาติของเรา หัวใจของเรา สถานที่ของเรา นี่ทำให้มันเห็นขึ้นมา

ถ้ามันเห็นขึ้นมา มันมีขึ้นมา แล้วมันไปเหลื่อมทับซ้อนกับใคร ทิฏฐิมานะ กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไปทับซ้อนกับประเทศชาติใด มันกระทบกระเทือนกับใคร มันกระทบกระเทือนนะ ทิฏฐิความเห็นผิด ทิฏฐิความมุมานะของเรามันไปกระทบกระเทือนใคร แล้วใครไปกระทบ? ก็เราไปกระทบ เขามากระทบเรา ถ้าเราไม่รับรู้ เห็นไหม ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธเรานี่โง่มากเลย เพราะเขาโกรธมา เขามีการกระทบมา เขามีปัญหาของเขามา นั่นมันเรื่องของเขา เรื่องของเรา เรารักษาใจของเราสิ มันจะไปกระทบกับใคร มันไม่กระทบกับใครหรอก

อธิปไตยของเรา เราทำความสงบของใจเราเข้ามา เราจะรื้อภพรื้อชาติของเรา เราจะเป็นสัจจะความจริง เห็นไหม มันมีในหัวใจของเรา มันถึงได้ไปกระเทือนกับเขา นี่มันเหยี่ยบย่ำเรา พรมแดนของกิเลส กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยังหาพรมแดนของมันไม่เจอเลย ประเทศชาติเขามีของเขา เขาต้องรักษาของเขานะ นี่อธิปไตยของเขา แล้วมันข้ามพรมแดนของเขา เกิดศึกเกิดสงครามกัน เกิดการทำลายกัน นี่สมมุติทั้งนั้นเลย เหมือนคนบ้า เหมือนคนบ้าขีดเส้นแล้วทะเลาะกัน ไม่มีอะไรสิ่งใดๆ เลย มันเป็นสมมุติทั้งนั้น แต่โลกเป็นอย่างนั้น เราต้องยอมรับความจริงว่าโลกเป็นอย่างนั้น เราก็อยู่กับเขา เราก็ต้องอยู่สภาวะแบบนั้น

กฎหมายเขียนขึ้นมาแล้ว พอกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไปก็เขียนกฎหมายใหม่ นี่มันก็เป็นพรมแดนอันหนึ่ง เป็นกติกาอันหนึ่ง นี่กติกาจากภายนอก แล้วกติกาของเราล่ะ ดูสิ เราเข้าพรรษามา เราบวชมา เราถือสัจจะกันมา ถือธุดงควัตร ถือต่างๆ นี่ก็เป็นพรมแดนอันหนึ่ง พรมแดนเพื่อพยายามจะหาสิ่งที่มันไม่พอใจ มันขัดเคืองใจ “สิ่งใดก็ไม่เป็นความสะดวกไปทั้งนั้นเลย สิ่งใดขัดข้องหมองใจไปทั้งนั้น” มันขัดข้องหมองใจเพราะอะไรล่ะ เพราะมันมีตัณหาของเรา มันมีตัณหา มันมีความคิด มันมีจุดมุ่งหมายของมัน แล้วจุดมุ่งหมายมันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากกิเลส จากความพอใจ จากคิดว่าสิ่งนี้เป็น นี่ปฏิบัติไปแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ มันก็ปฏิบัติโดยกิเลสสิ

ถ้าปฏิบัติโดยธรรมล่ะ สิ่งนี้มีคุณค่าทั้งนั้นนะ เห็นไหม ที่เขาเขียนกฎหมายขึ้นมาเป็นประเทศชาติขึ้นมาต่างๆ มีพรมแดนขึ้นมาเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของประชากรในประเทศชาตินั้น ดูสิ เวลาเกิดโรคระบาดขึ้นมา เขาช่วยเหลือเจือจานกันนะ นี่ก็เหมือนกัน ธรรมและวินัย สิ่งที่ว่าเป็นกฎหมายเอาไว้ข่มขี่ผู้ที่เอาเปรียบเขา ผู้ที่ทำลายเขา ผู้ที่เห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีคนเห็นแก่ตัวเลย ไม่มีคนที่เอาเปรียบกันเลย โลกนี้มันก็เจริญสิ โลกนี้มันก็ร่มเย็นเป็นสุขสิ แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะ แม้แต่ความเห็นของเรา เกิดเป็นคนดีทั้งหมดเหมือนกัน แต่ถึงคราววิกฤติขึ้นมา ทุกคนเอาตัวรอด ทุกคนเห็นแก่ตัว นี่ความเห็นแก่ตัวเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่ถ้ามันมีคุณธรรมขึ้นมา ดูสิ ทำไมพ่อแม่เสียสละให้ลูกได้ล่ะ? ก็ด้วยความรัก นี่ลูกของเรา เราเสียสละให้ลูกเราได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจเราเป็นธรรมล่ะ หัวใจเราเป็นธรรมนี่มันเมตตา เมตตาเหนือโลกอีก สิ่งที่ควรเป็นประโยชน์กับเขา เป็นประโยชน์ในแง่ของธรรมะด้วย เห็นไหม ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาท่านติเตียน ท่านสั่งสอนลูกศิษย์ ก็บอกว่า “ครูบาอาจารย์องค์นั้นเข้มแข็ง ครูบาอาจารย์องค์นั้นดุด่า”

ท่านไม่ได้ด่า ท่านเห็นความผิดพลาด ท่านชี้ให้ ท่านชี้ให้เราเห็นความผิดพลาดอันนั้น ความผิดพลาดอันนั้นทำให้เราเสียหายนะ เหมือนกับเด็กเลย เด็กทำอะไรมันจะเกิดความเสียหาย แล้วพ่อแม่เตือนด้วยความโกรธหรือ? นี่พ่อแม่เตือนด้วยความรัก แล้วเด็กมันรู้เรื่องไหม? มันไม่รู้เรื่อง นี่ก็เหมือนกัน กิเลสในหัวใจ “ทำไมท่านว่าอย่างนั้น ทำไมท่านว่าอย่างนั้น” ถึงบอกว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ดูสิ เวลาพระสารีบุตรฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เทศนาว่าการพระสารีบุตรเลย ท่านเทศน์ว่าหลานพระสารีบุตร แต่พระสารีบุตรเก็บเอาสิ่งนี้มาเป็นประโยชน์

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจเราเป็นธรรมขึ้นมา มันจะเป็นธรรมขึ้นมาหมด เห็นสิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งนี้มันไม่ขัดเคืองใจเรานะ ถ้ามันขัดใจคือขัดกับกิเลส กิเลสมันปฏิเสธ มันไม่เอา สิ่งที่เป็นประโยชน์มันกลับไม่เอา มันไปเอาสิ่งที่เป็นมูตรเป็นคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันหลงตัวมันเอง มันหลงทิฏฐิมานะ หลงความเห็นของเราว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แล้วปฏิบัติ อ้างด้วย

สุนัขมันห่มด้วยหนังเสือ เวลามันเห่าออกมา มันไม่เหมือนเสียงเสือหรอก เสียงเสือจริงๆ มันคำราม มันก็เป็นเสือสิ แต่ไอ้นี่มันสุนัข แล้วมันเอาหนังเสือมาห่มไว้ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน กิเลสทั้งตัว แล้วอ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ว่างอย่างนั้น เป็นสภาวธรรมอย่างนั้น”...มันสุนัขเห่า สุนัขเห่ามันก็ไม่ใช่เรื่องน่ะสิ มันไม่เป็นความจริงหรอก มันไม่เป็นความจริงทั้งสิ้นเลย มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพียงแต่มีธรรมและวินัย นี่ไง มันท่องจำก็ท่องจำอย่างนี้

ที่ว่า “เถรวาทมีแต่ท่องจำๆ”...ท่องจำแล้วมันไม่ปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติแล้วมันไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เราตรวจสอบของเราสิ ใจของเรามันสงบขึ้นมาไหม ใจของเราเห็นอธิปไตยของเราไหม เห็นความเป็นไปของเราไหม ไอ้ตัวเกิดๆ นี่ใคร พระ ก. พระ ข. นาย ก. นาย ข. มันเป็นใคร มันอยู่ที่ไหน? มันไม่มีเลย ทะเบียนบ้านก็สมมุติขึ้นมา ทะเบียนบ้านนี่กรมการปกครองเขาตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นสถิติ เพื่อการสืบค้นได้ง่ายเท่านั้น เวลาตายไปต้องจำหน่าย สิ่งนี้มันเป็นเรื่องของโลกๆ มันไม่มีหรอก มันไม่มี...ไม่มีแล้วปฏิบัติไปทำไม

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ กำหนดของเรา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา พระ ก. พระ ข. มันอยู่ที่นี่ สมาธิเป็นอย่างนี้นะ เพราะตัวนี้มันเห็นจริงๆ นะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา เริ่มตั้งแต่มีอาการ มีความรู้สึกในหัวใจ มันเกิดปีติขึ้นมาต่างๆ ตัวจะเบาขึ้นมา แล้วถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางหมด

ขณะที่จิตสงบมันสามารถปล่อยกายได้นะ มันไม่รับรู้สิ่งต่างๆ เลย มันไม่รับรู้กายได้ มันไม่รับรู้เลย มันสงบเข้ามา หดตัวเข้ามาเป็นเอกเทศของมันเลย เป็นตัวจิตล้วนๆ เลย นี่อธิปไตย นี่ตัวจิต นาย ก. พระ ก. พระ ข. มันอยู่ตรงนี้ เพราะไอ้ตัวนี้มันตัวพาเกิดพาตาย ไอ้ตัวปฏิสนธิจิต ตัวนี้ตัวพาเกิดพาตาย มันหดย่นเข้ามานะ เห็นไหม มันไม่ระรานใคร

ถ้ามันออกไป มันเป็นขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ...รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็กระทบกัน ดูสิ ดูความคิดเรากระทบกันสิ ความคิดเห็นต่างๆ มันกระทบกระเทือนกัน มันกระเทือนแล้วมันสั่นไหวในหัวใจไหม สิ่งที่เราขัดเคืองใจ แล้วเขาก็ไม่พอใจ ไม่เห็นดีเห็นงามกับเรา แล้วเวลาเสนอไป พูดอย่างไรมันก็ขัดแย้ง ความขัดแย้ง นี่มันออกไปเหลื่อมทับซ้อนกันด้วยทิฏฐิ

แต่ถ้ามันสงบเข้ามา มันเป็นเราทั้งหมด มันไม่ใช่ขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่ใช่ มันเป็นตัวจิตเฉยๆ ตัวจิตเลย ตัวนี้ตัวอธิปไตย ตัวนี้ตัวภวาสวะ ตัวนี้ตัวภพ ตัวภพนี่คือตัวเรา เพราะอะไร เพราะมันเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เวลามันเกิดมันตายก็ตัวนี้พาตายพาเกิด เกิดเป็น พระ ก. พระ ข. ตายไปเกิดเป็นคนใหม่ เห็นไหม

ดูสิ พระในสมัยพุทธกาลที่ตัดจีวร ได้จีวรใหม่ พรุ่งนี้จะได้ห่มจีวรใหม่ นี่มันผูกพัน เวลาตายแล้วไปเกิดเป็นเล็น ไปอยู่ในผ้าจีวรนั้น นี่เปลี่ยนภพหรือยัง จากพระกลายเป็นเล็น จากพระนะ จากพระภิกษุกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะอะไร เพราะความผูกพันของใจ อธิปไตยอันนี้มันไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไปอบายภูมิ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “อย่าแจกนะ อย่าเพิ่งแจกจีวรผืนนี้นะ เพราะเล็นตัวนี้ยังหึงหวงมาก” ความหึงหวง ฟังสิ คำว่า “หึงหวง” ถ้าแจกไปจะผูกโกรธ

นี่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ไอ้ตัวจิตที่ไปเกิดไปตาย แล้วถ้าผูกโกรธแล้วมันไปตายที่ไหนล่ะ นี่ถึงยังไม่ให้แจกจีวรผืนนั้น เก็บไว้จน ๗ วัน จนหมดอายุขัย

นี่ไปนอนมีความสุขอยู่อย่างนั้นนะ “จีวรของเราๆๆ” ถึงเป็นเล็น แต่ความรู้สึกความคิด อธิปไตย ที่มันทับซ้อน มันเหลื่อมกัน เวลามันเกิดมันตาย ไม่เห็น ผู้เกิดผู้ตายไม่เห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งรู้ทั้งเห็นทั้งเป็นไป ถึงว่าอย่าเพิ่งแจกกัน

แล้วเขาไปเกิดเป็นเทวดา เพราะอะไร เพราะเป็นพระภิกษุ เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ มันมีคุณธรรมในหัวใจ แต่เพราะไอ้ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญามันจำไง จำได้ว่า “จีวรของเรา เราได้จีวร ทำมากับมือ แล้วพรุ่งนี้เช้าจะได้ใช้ จะได้เป็นจีวรของเรา” สิ่งนี้มันเกิดมาจากไหน? นี่ทับซ้อนกันด้วยสัญญา สังขารมันปรุงมันแต่ง เพราะมันไม่เข้ามาถึงอธิปไตยของตัว แล้วเวลาตายไปมันก็หดเข้ามาถึงอธิปไตยนี้ แล้วมันก็ไปอีก ออกไปเกิด ตัวเกิด ตัวปฏิสนธิจิต

ถ้ามันสงบเข้ามาถึงที่นี่ นี่อัปปนาสมาธิ จิตมันสงบมาก ก่อนที่มันสงบ มันมีอาการต่างๆ เข้าไป เราต้องตั้งสตินะ การตั้งสติรับรู้สิ่งนี้เข้ามา “ศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้าไม่มีสมาธินะ ความคิดมันคิดขึ้นมาจากสมมุติ สมมุตินะ สังขารที่ปรุงที่แต่งเป็นสมมุติทั้งนั้น สิ่งที่เป็นสมมุติคิดมาจากอะไร? ก็ข้อมูลของเรานี่ เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาขนาดไหนก็คิดได้แค่นี้ ถ้าเรา ๙ ประโยค เราแต่งบาลีได้ ก็เหมือนเราเรียงความได้ เราเรียงความเป็นภาษาบาลีเท่านั้นเอง เพราะเราเรียนบาลีมามันก็ได้สภาวะแบบนั้น มันแต่งมาจากไหนล่ะ? มันแต่งจากสัญญาที่เราศึกษามา จากข้อมูลที่เรารู้เป็นภาษามา แต่มันแก้ไขกิเลสไหม มันชำระกิเลสไหม

นี่มันไม่เห็นดินแดนของตัว มันไม่เห็นสถานที่ตั้งของตัว ไม่รู้จักว่าเป็นคนไทยแล้วอยู่ในประเทศไทย ประเทศไทยอยู่ที่ไหนล่ะ เวลาข้ามแดนไป ข้ามแดนตรงไหน นี่ก็เหมือนกัน จิตมันสงบเข้ามาอย่างไร แล้วเราจะรื้อภพรื้อชาติอย่างไร มันจะข้ามพรมแดนกันอย่างไร นี่มันข้ามพรมแดนนะ ถ้าไม่ข้ามพรมแดน มันจะทำลายสภาวะอวิชชาได้อย่างไร

อวิชชา เวลาข้ามพรมแดนเข้าไปนะ ดูสิ ประเทศแต่ละประเทศเขาต้องมีด่าน มีชายแดน มีจังหวัดต่างๆ ที่อยู่เป็นภูมิภาค แล้วเมืองหลวงเขาอยู่ไหนล่ะ นี่มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปในการประพฤติปฏิบัติ ทำลายเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ทำลายเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปมันต้องเป็นสัจธรรมสิ ถ้าเป็นสัจธรรม นี่ธรรมะไร้พรมแดน

แต่ถ้ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีพรมแดนของมัน มันยึดของมันนะ แล้วมันสร้างภาพของมัน สร้างภาพก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นล่ะ นี่ปฏิบัติไป ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่ธรรม สิ่งที่จิตมันสงบเข้ามาก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...นี่มันวิปัสสนึก นึกสภาวะเป็นอย่างนั้นไป เห็นไหม ถ้าเถรวาทท่องจำ แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม

เราเป็นชาวพุทธ แล้วภูมิอกภูมิใจมาก ศาสนาพุทธจะเจริญอยู่ที่ประเทศไทย นี่เป็นเถรวาท สิ่งที่เป็นเถรวาทมันก็เป็นแค่มดแดงเฝ้าพวงมะม่วง แค่รักษาไว้เท่านั้นเอง เห็นไหม ดูสิ เวลาเราบวชขึ้นมา ลูกของเรามาบวช พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เพราะอะไร เพราะเอาลูกของเราไปค้ำจุนศาสนา บวชมา ๓ เดือน บวชพรรษาหนึ่ง นี่พ่อแม่ได้แล้ว เพราะอะไร เพราะเอาเลือดเนื้อเชื้อไข ไข่ของแม่ เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา กินเลือด กินน้ำนมของแม่มา มันก็ออกมาค้ำจุนศาสนา

นี่ก็เหมือนกัน พอบวชขึ้นมาแล้ว เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นนักบวช เราเป็นพระ เป็นผู้ที่เผยแผ่ธรรม เอาอะไรไปเผยแผ่ สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาสุดยอดที่สุด ไม่มีใครมีความรู้สูงไปกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมวินัยที่วางไว้ ใครจะไปเผยแผ่ ใครมีปัญญา

เวลาสร้างพระกัน เห็นไหม “เบิกเนตรๆ”...เอาอะไรมาเบิก คนตาบอดไปเบิกเนตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมขึ้นมา ศาสนาเจริญ เราเป็นพระ เป็นผู้ที่รักษาศาสนาพุทธไว้ รักษาไว้เหมือนคนเลี้ยงโคเลย เลี้ยงโคแต่ไม่เคยได้ดื่มน้ำนมโคเลยนะ คนเลี้ยงโคได้กินแต่ขี้โค เพราะมันไม่รู้จัก เห็นไหม คนเลี้ยงโคแท้ๆ เลย เวลารีดนมโครีดอย่างไร รีดออกมาแล้วเราได้ดื่มกินน้ำนั้นไหม รสของธรรมเป็นอย่างไร นี่มันไม่มีความรู้สิ่งต่างๆ ยิ่งปฏิบัติไป ยิ่งศึกษาไป ยิ่งรักษาไปๆ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติก็ตำหนิติเตียนกันไปเอง แต่ถ้ามันทำความถูกต้อง มันจะตำหนิติเตียนไปได้อย่างไร มันติเตียนไม่ได้หรอกถ้ามันเป็นความจริง ถ้าจิตสงบเข้ามามันทิ้งกาย ทิ้งกายอย่างนี้เป็นอะไร? มันก็เป็นแค่ความสงบของใจเท่านั้น มันไม่มีอะไรเลย แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ขึ้นมา มันเห็นของมันนะ

เวลาเป็นประเทศชาติแต่ละประเทศ ดูสิ เวลาเราส่งต่อมา ชาตินี้สำคัญมากเลย เพราะอะไร อาณาจักร พุทธจักร ศาสนาตั้งอยู่ที่ไหนล่ะ? ก็ตั้งอยู่บนชาติ ถ้าไม่มีชาติ ศาสนาตั้งได้อย่างไร ถ้าไม่มีประเทศชาติจะรักษาศาสนาอย่างไร ถ้าไม่มีศาสนา จะออมชอมให้ประชาชนขึ้นมาเป็นวัฒนธรรม เป็นชาติขึ้นมาได้อย่างไร มันเป็นเรื่องของโลกที่ว่าสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับโลก

แต่เราเกิดมาเราก็มีร่างกาย เหมือนธาตุขันธ์นี่ แล้วความรู้สึกล่ะ ความรู้สึกที่เป็นคุณธรรมล่ะ ถ้าเป็นคุณธรรมขึ้นมา คนเรามันมีร่างกายและจิตใจ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นไป ธรรมกับโลก โลกก็เป็นสภาวะของโลก ถ้าโลกเป็นธรรม ใจเรามีประโยชน์ขึ้นมา เราก็ได้สัมผัสขึ้นมา นี่ศาสนาเข้มแข็งอย่างนี้ไง แล้วมันได้เห็นความจริง สัจจะความจริงที่ว่า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเป็นอย่างไร แล้วมีคุณค่าไหม เหมือนกับศาสนามีชีวิต ศาสนา คุณธรรม มันมีคุณธรรมขึ้นมา มันเป็นความสัมผัสของใจ

ไม่ใช่ศาสนาตายแห้ง เหมือนศาสนานี้เป็นซากเลย ไม่มีสิ่งใดๆ เลย ถือกันไปอย่างนั้น ท่องจำกันมา แล้วก็มาโต้แย้งกันเอง เห็นไหม “พวกเถรวาทท่องจำมาๆ”...ท่องจำก็ท่องจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะเผยแผ่ธรรม เอาอะไรไปเผยแผ่

ธรรม พระพุทธเจ้าเผยแผ่แล้ว พระพุทธเจ้าบอกให้เราปฏิบัติต่างหาก ให้เรามีคุณธรรมขึ้นมา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อุปัชฌาย์ให้ปริยัติมาแล้ว ถ้าเราทำลายสิ่งต่างๆ ที่แตกออกไปจากหัวใจของเรา เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันขังใครไว้? ก็มันขังไอ้หัวใจดวงนี้ ไอ้หัวใจโง่ๆ ไอ้ที่มันว่ามันเป็นชาวพุทธนี่ มันขังดวงใจนี้ มันก็ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ เลย นี่ทำลายกรงขังมันออกมาให้เป็นอิสรภาพของมัน แล้วทำอย่างไรถึงให้มันเป็นอิสรภาพขึ้นมาล่ะ? มันก็ต้องมีวิปัสสนาญาณสิ เพราะอะไร ทิฏฐิมานะมาจากไหนล่ะ

ดูสิ นักโทษ เวลาเขาไปเยี่ยมญาติกัน มันจับกรงขังแล้วคุยกัน นี่ก็เหมือนกัน ไอ้จิตตัวนี้มันติดเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ สิ่งที่มันติดอยู่นี่ แล้วมันก็เกาะกรงขัง แล้วมันก็สืบต่อกันจากภายนอก สืบต่อกันออกมาเลยนะ เป็นการทับซ้อนกัน เป็นการเหลื่อมซ้อนกัน เป็นการสร้างปัญหาต่อกัน สิ่งที่สร้างปัญหาต่อกัน สิ่งนี้มันกระทบกระเทือนกันไหม? มันกระทบกระเทือนกัน แล้วเราจะแก้ไขมันอย่างไร

สิ่งที่แก้ไขขึ้นมา เห็นไหม ให้ของเราไม่มีพรมแดน ไม่มีการกระทบกระเทือนต่อกัน สิ่งที่ไม่กระทบกระเทือนต่อกันมันก็ต้องมีสัจจะความจริง ถ้าสัจจะความจริง ต้องให้มันสงบเข้ามา ทำใจของเราให้สงบก่อน ก่อนที่เราจะไม่มีพรมแดน เราต้องรู้จักพรมแดนของเรา รู้จักสถานที่ของเรา ขอบเขตของเรามีเท่าไร แล้วขอบเขตของเรามันควรจะแก้ไขอย่างไร เราถึงจะทำลายขอบเขตอันนั้นได้ ถ้าเราไม่รู้จักขอบเขตของเราเลย มันจะไปเหลื่อมกันที่ไหน พรมแดนมันทับซ้อนกันอย่างไร

มันทับซ้อนกันด้วยทิฏฐิมานะ มันเป็นความรู้สึก มันเป็นความคิด ความคิด ความรู้สึกให้โทษยิ่งกว่าธาตุอีก ดูสิ ผู้นำที่ดีคนหนึ่งทำให้ประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุข ผู้นำที่ดีคนหนึ่งทำให้โลกนี้เจริญ ถ้าผู้นำที่หลงตัวเอง ทำให้เกิดสงครามโลก ทำให้เกิดการทำลายบาดหมางกัน คนตายเป็นล้านๆ คนเลย แล้วผู้นำมันมาจากไหนล่ะ? ผู้นำก็มาจากความรู้สึก ตัวจิตนี้ไง ตัวจิตเป็นตัวคิด

มนุษย์จะดีหรือชั่วมันอยู่ที่หัวใจ ถ้าหัวใจมันดี มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันทำให้ชีวิตเราร่มเย็นเป็นสุข แล้วชาติตระกูลก็ดีขึ้นมา เป็นพระผู้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ดูสิ ถ้าพระมีคุณธรรมขึ้นมาแต่ละองค์ มันจะเป็นผู้นำ นี่ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะไง ถ้าครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ตัวเองเป็นสัปปายะของตัวเองก่อน แล้วมันจะเป็นสัปปายะของหมู่คณะได้ เหมือนหัวหน้าห้องครัวเลย อาหารอะไรก็ทำได้ นี่อาหารของใจไง สมาธิจะสงบ สงบอย่างไร สงบแล้วควรทำอย่างไร

สมาธิสงบแล้ว เขาหาวัตถุดิบมาให้พร้อมเลย อยู่ในครัว แล้วไม่ยอมทำอะไร ปล่อยให้เน่าเสียหายไป นี่ก็เหมือนกัน ปริยัติที่ศึกษากันมา สิ่งนี้เป็นประโยชน์มากเลย เพราะอะไร เพราะเป็นการตรัสรู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นปรมัตถธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ศึกษาขึ้นมาแล้ว ชาวพุทธมันจะเสียหายอะไร มันเสียหายอะไร ก็มันเอาวัตถุดิบมากองไว้ แล้วมันไม่ได้ทำประโยชน์ขึ้นมา

นี่ศาสนาพุทธสำคัญ มีวัตถุดิบหมดเลย ในมรรค ๘ ปัญญาชอบ ความเพียรชอบ สติชอบ ระลึกชอบ แล้วมันชอบอย่างไร นี่มันชอบไหม? มันไม่ชอบ เพราะอะไร เพราะมันไปไม่ถึงฝั่ง ศึกษามาแล้ว ศึกษาตำรับตำรา ยิ่งศึกษายิ่งสงสัย ยิ่งศึกษาก็ยิ่งงง เพราะอะไร เพราะมันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไอ้พวกเรามันหางอึ่ง นี่วุฒิภาวะของจิตมันไม่เหมือนกัน วุฒิภาวะของจิตมันสูงไม่เท่ากัน เราจะต้องทำความเข้าใจ ทำความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบขึ้นมา เห็นไหม สมาธิเป็นอย่างนี้ มันรู้จริงๆ นะ แต่ที่มันไม่รู้เพราะมันเป็นมิจฉาสมาธิ

ดูน้ำ เราตักน้ำมาดื่มกิน มันจะทำให้เราสดชื่นไหม แล้วเราไปตักอากาศมา มันไม่มีน้ำ มีแต่ขันเปล่าๆ “เอ๊ะ! น้ำนี้มันเป็นอย่างนี้ เอ๊! แล้วมัน...” มันงงไปหมด นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมัน “ว่างๆ ว่างๆ”...ว่างๆ อะไร แต่ถ้าขันเราตักน้ำมา น้ำในขัน ทำไมต้องมีคนคอยบอกว่าน้ำในขัน เราเดินหน่อยเดียว น้ำจะกระเพื่อมหกเลย จิตก็เหมือนกัน ถ้าเวลามันสงบขึ้นมา ถ้าเรารักษาไม่ดี เดี๋ยวมันก็เสื่อมหมด เราเคยได้ตักน้ำที่สะอาดมา มันก็รู้ว่าน้ำนี้สะอาด แล้วถ้าตักน้ำเสียมาก็รู้ว่าน้ำเสีย นี่เหมือนกัน พอจิตมันเสื่อมไปแล้วมันถึงเสียดาย แล้วมันจะรักษาอย่างไร

มันก็ต้องตั้งสติ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ สิ่งที่มันเสื่อมไปเพราะมันเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แม้แต่สถานที่ เป็นนามธรรมก็เป็นอนิจจัง อนิจจังนะ แต่มันทับซ้อนกัน เวลามันเกิดมันตายนี่ทุกข์มาก สิ่งที่เป็นอนิจจังมันเกิดตายแน่นอน มันจะเกิดตาย มันจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไป นี่อธิปไตยจากภายใน มันจะมีสภาวะแบบนี้ตลอดไป แล้วสิ่งที่เป็นอนิจจังจะทำอย่างไรให้มันตั้งมั่น เอกัคคตารมณ์ จิตนี้เป็นหนึ่ง

เราเป็นคนที่มีโรคมีภัย เราจะทำอะไรไม่ได้เลย เราจะไม่มีกำลังอะไรเลย ขนาดเดินยังให้คนอื่นประคองเลย เห็นไหม จิตก็เหมือนกัน ที่มันประคองอยู่นี่มันประคองอยู่กับอะไร? ตัวจิตมันประคองอยู่กับอารมณ์ อารมณ์เป็นอาหารของจิต อารมณ์ความรู้สึก ความคิด มันเป็นอาหารของใจ แล้วเวลาใจมันไม่คิดขึ้นมามันอยู่ไหน เวลาเราอยู่เพลินๆ ของเรา เราเหม่อลอยอยู่อย่างนี้ จิตมันไปอยู่ไหน? จิตมันพักตัวมันเอง มันยังไม่มีเครื่องแสดงตัวของมันออกมา แต่เวลาเราคิดขึ้นมามันก็เกาะแล้ว มันต้องเอาสิ่งนี้พยุงตัวมันตลอดไป

เวลาคนเจ็บไข้คนป่วยไม่มีกำลังทำสิ่งใดได้ จิตก็เหมือนกัน จิตที่ไม่มีกำลังเลย มันทำอะไรของมันได้ แล้วว่า “ว่างๆ ว่างๆ” มันก็เหมือนคนวางยาสลบ คนนี้ป่วย มันมีความเจ็บของมัน วางยาสลบมันแล้วไม่เป็นอะไรเลย เงียบ “โอ้! สบายมาก” นี่ก็เหมือนกัน เวลามันมีความคิด มันเหมือนคนไม่มีกำลัง แล้วก็คิดว่า “ว่างๆ ว่างๆ”...วางยาตัวเองนะ ถึงว่าตักน้ำแล้วขันถึงไม่มีน้ำ แต่ถ้าขันมันมีน้ำ เวลาเราเดินเคลื่อนไหว น้ำจะกระเพื่อมหกจากขันนั้นเลย เราก็เสียดายน้ำ อุตส่าห์ตักมา เดินมาตั้งไกล

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันตั้งสติขึ้นมา มันจะรักษาอย่างนั้น ขันนี้รักษาให้ดี จิตนี้รักษาให้ดี สติรักษาให้ดี กำหนดพุทโธก็ได้ อานาปานสติก็ได้ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ การพิจารณา พิจารณาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่แหละ เห็นไหม การพิจารณาขึ้นมา แล้วแต่น้ำใกล้ น้ำไกล น้ำฝน น้ำบาดาล น้ำบ่อ วิธีการที่ได้มาต่างๆ กันนะ น้ำฝนมันตกมาจากฟ้า แล้วเรามีภาชนะรองรับขึ้นมา น้ำมาจากฟ้าได้อย่างไร บนฟ้ามีน้ำหรือ ทำไมตักน้ำบนฟ้ามาได้ล่ะ น้ำใต้ดินทำไมเราดูดขึ้นมาได้ล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ในการทำความสงบของใจก็เหมือนกัน เราจะเอาน้ำมาจากไหน เราจะมีจริตนิสัยอย่างไร ถ้าเราอยู่แถบเส้นศูนย์สูตร เวลาฝนตกมามันมีแหล่งน้ำ วัฒนธรรมของเขา เขาเก็บน้ำฝนไว้ใช้กัน เราก็เอาน้ำมาจากฟ้า แต่ถ้าฤดูกาลไม่เป็นเหมือนทางซีกโลกร้อน เขาเก็บน้ำไว้ต่างหาก นี่มันหาน้ำต่างๆ กันไปที่จะเอามาใช้นะ

นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัย เราตั้งสติของเรา แล้วเราพยายามแสวงหาของเราขึ้นมา ถ้ามันสงบขึ้นมา มันมีสถานที่ เพราะอะไร เพราะจิตสงบ นี่ตัวตน ตัวตนเลย อธิปไตย แล้วมันเป็นอธิปไตยของเรา มันมีพรมแดนของมันด้วย เพราะมันเป็นปุถุชน ในการวิปัสสนาของเรา ในการรักษาของเรา รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันมีอธิปไตยอยู่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เสื่อม เดี๋ยวมันก็เป็นไปของมันอีก แล้วเราจะทำอย่างไร

ถ้าเราจะพิจารณา ถ้ากำหนดพุทโธๆ เรากำหนดด้วยคำบริกรรม คำบริกรรมทำให้จิตนี้สงบเข้ามาบ่อยครั้งเข้า พอมันหลุดออกมา มันเสื่อมออกมา มันคลายตัวออกมา มันจะเห็นโทษของมัน ถ้าเห็นโทษของมัน เราก็กำหนดพุทโธๆ บ่อยครั้งเข้า การกำหนดพุทโธบ่อยครั้งเข้าจนมันสงบขึ้นไปบ่อยครั้งเข้า แล้วถ้าบ่อยครั้ง ความสงบกับความไม่สงบต่างกันอย่างไร

ความสงบพร้อมกับสติ จิตมันตั้งมั่น จิตมีความสุขมาก แล้วความที่ไม่สงบล่ะ ไม่สงบนี่เหมือนคนป่วย มันอาศัยอารมณ์ความรู้สึกความฟุ้งซ่านเกาะไว้ ทุกข์มาก เพราะคนป่วยแล้วก็กินอาหาร กินของแสลง ให้อารมณ์ความรู้สึกความคิดลากไป เห็นไหม มันก็เห็นโทษ นี่บ่วงของมาร รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร มันลากให้หัวใจนี้ไปตลอด ไม่มีเวลาที่จะเป็นอิสระกับตัวเองเลย แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ พุทโธๆ ถ้ามันต่างกัน ความต่างมันจะเป็นอิสระของตัวมันเอง สิ่งนี้มันมีคุณประโยชน์มากกว่า

การเห็นโทษและเห็นภัย มันถึงว่า อ๋อ! ที่มันเสื่อมไปเพราะว่าเราไม่มีสติ เราปล่อยมันไปตามรูป รส กลิ่น เสียง ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา อยู่กับคำบริกรรม อาหารใหม่ อาหารในคำบริกรรมพุทโธๆๆ ให้มันเกาะสิ่งนี้ไว้ ถ้ามันสงบเข้ามา สงบเข้ามาเพราะอะไร เพราะอาหารนี้มันไม่เป็นพิษ มันไม่ใช่ของแสลง ถ้าเราเกาะอยู่อย่างนี้มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันก็เป็นกัลยาณปุถุชน นี่มันทำลายความเห็นผิด ทำลายเส้นเขตแบ่งของเรา

นี่รุกล้ำอธิปไตยของกัน ถ้ามันรู้จักเส้นแบ่งเขตของตัวเองโดยความถูกต้อง มันก็เป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา นี่มันก็ตัวตนของมัน มันเป็นสัมมาสมาธิ มันมีดินแดนของมันโดยสัจจะความจริง ดินแดนใครจะเล็ก ใครจะกว้าง ใครจะแคบขนาดไหน มันอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมี เห็นไหม จิตที่มีความคึกคะนอง จิตที่มันมีอารมณ์ต่างๆ มันก็มีการแสดงตัวต่างๆ กัน ขอบเขตของใคร ขอบเขตของจิตดวงใด มันก็เป็นขอบเขตของจิตดวงนั้นล่ะ

ถ้ามีครูบาอาจารย์ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ถ้าจิตตั้งมั่นแล้วให้วิปัสสนา” วิปัสสนาทำลายข้ามพรมแดน พรมแดนโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นพรมแดนพรมแดนหนึ่งนะ พรมแดนที่ว่าผู้รู้จริงเห็นจริง มันจะรู้จักพรมแดนของมัน ถ้าไม่รู้จักพรมแดนของมัน ทำไมโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติล่ะ ทำไมสกิทาคามีเกิดอีก ๓ ชาติล่ะ ทำไมพระอนาคามีจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกแล้ว แต่ไปเกิดบนอวกาศ

สิ่งที่เป็นอวกาศ โลกนี้เป็นอวกาศ สิทธิของอวกาศ ถ้าเราไม่มีพื้นที่ในโลกนี้ มันจะมีขอบเขตของอวกาศที่เราจะยิงดาวเทียมได้ไหม เราต้องมีพื้นที่ใช่ไหม เราถึงได้สิทธิจากพื้นที่ขึ้นไปบนอวกาศนั้น จิตที่มาเกิดในโลก มันก็เป็นโลกอยู่นั่นแหละ มันก็มีพรมแดนของมัน นี่พรมแดนในโลกนี้ แต่มันไปเกิดบนอวกาศ นี่เป็นพระอนาคามี

แล้วถ้ามันทำลายพรมแดนทั้งหมดล่ะ

มันทำลายภพทั้งหมด ทำลายชาติทั้งหมด นี่ไร้พรมแดน ไม่มีพรมแดน ไม่มีโลก ไม่มีหัวใจ ไม่มีสิ่งที่จะเป็นเป้าหมาย

มรรคมันจะเห็นในสถานที่ที่มันจะเป็นที่ตั้งของมาร มารมันอาศัยอย่างนี้นะ แล้วตอนนี้มารเต็มหัวใจของเรา แค่มันสงบเข้ามา เป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา มันเป็นพรมแดนแต่ละพรมแดนที่จิตมันจะข้ามพ้นๆ ข้ามพ้นด้วยอะไร? ข้ามพ้นด้วยวิปัสสนาญาณ ข้ามพ้นด้วยมรรคญาณ มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล” แล้วศาสนาที่มีมรรค มรรคเกิดอย่างไร

มรรค ที่ว่ามรรคๆ กัน “สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบนี้เป็นมรรค”...อันนี้เป็นมรรคของคฤหัสถ์เขา ธรรมเป็นประเพณีวัฒนธรรม มีสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ สิ่งต่างๆ เห็นไหม นั่นมันเป็นเรื่องของโลกๆ นะ เลี้ยงชีพอย่างนั้น ดูสิ ดูความสงบของใจ ถ้าจิตนี้มันไม่รู้จักความสงบของใจ สิ่งที่ว่าเป็นของแสลง สิ่งที่รูป รส กลิ่น เสียง นี่มันก็เลี้ยงชีพผิดแล้ว พอเลี้ยงชีพผิดมันก็ฟุ้งซ่าน จิตอาศัยความรู้สึก อาศัยความคิดเป็นที่อยู่ เป็นที่เกาะอาศัยไป

แต่ถ้าเราเห็นโทษของมัน เราไม่อาศัยสิ่งนั้น เราอาศัยธรรม พุทโธนี้เป็นธรรม ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง นี่ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าที่วางไว้

“เถรวาทท่องจำ”...ท่องจำแล้วมึงทำได้หรือเปล่า ท่องจำแล้วทำจริงไหม ถ้าทำจริงต้องเห็นจริงสิ ใครเห็นจริงขึ้นมาคือเห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประกาศในหัวใจของเรา ถ้าสงบก็คือเราสงบ ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา แล้วรักษาให้ดี ถ้ามันสงบแล้วย้อนไป กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันเกิดเวทนา เวทนาอยู่ไหน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันไม่รับรู้ต่างๆ เวทนาไม่เห็นมีเลย จิตสงบ มันปล่อย แม้แต่กายยังทิ้งได้เลย เวลามันสงบเข้ามา มันไม่รับรู้อะไรเลย สงบ เงียบ หายหมด กายนี้ปล่อยได้เลย แต่ปล่อยอย่างนี้มันปล่อยโดยสมถะ มันปล่อยแบบกำปั้นทุบดิน มันจะไม่มีคุณค่าอะไรขึ้นมาเลย เพราะเดี๋ยวจิตมันเสื่อมออกมามันก็คือเราทั้งตัวนี่แหละ

แต่ถ้ามันสงบเข้าไปแล้วมันเห็นกาย เราวิปัสสนากายอย่างนั้นต่างหากล่ะ มันเห็นโทษอย่างไร วิปัสสนากาย กายนี้เป็นอะไร? มันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์เป็นอย่างไร? ไตรลักษณ์มันทำลายตัวมันเอง ทำลายสภาพของกายนั้น ทำลายต่างๆ นี่มันเป็นไตรลักษณ์ ไตรลักษณะ ถ้าเราเห็นสภาวะไตรลักษณะ นี่เป็นอะไร? นี่เป็นธรรม ธรรมมันเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากอธิปไตยดวงนั้น

ผู้ที่เป็นอธิปไตย เป็นเจ้าของพื้นที่ เป็นเจ้าของประเทศ เราเป็นเจ้าของพื้นที่นั้น เราจะประกอบสัมมาอาชีวะอะไรในพื้นที่ของเราก็ได้ เราจะทำเรือกสวนไร่นาขึ้นมา มันเป็นคุณสมบัติของเรา เราจะปลูกกัญชายาฝิ่นมันก็เป็นโทษของเรา เพราะสารเสพติดอย่างนี้ถ้าเราใช้ มันก็จะเป็นผลเสียกับเรา

จิตก็เหมือนกัน ถ้าเราวิปัสสนาไป วิปัสสนาในอะไร? กาย เวทนา จิต ธรรม จิตมันวิปัสสนาไป มันเป็นธรรมขึ้นมา แต่ถ้าวิปัสสนาแล้วมันเป็นมิจฉาล่ะ มิจฉามันก็เป็นกิเลส สภาวะไม่ได้ทำสิ่งใดเลย สร้างภาพ “นี่เป็นโสดาบัน นี่เป็นสกิทาคามี” ไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย มันเป็นยาเสพติด เสพติดสิ เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะ แต่เวลากิเลสมันเสพติดว่าเป็นสภาวธรรม แล้วมันก็สร้างภาพขึ้นมาว่าสิ่งนี้เป็นธรรม แล้วมันเป็นธรรมจริงไหมล่ะ

ถ้าเป็นธรรมจริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เห็นไหม มงคล ๓๘ ประการ “ผู้ใดเห็นสมณะ เป็นมงคลอย่างยิ่ง” ตั้งแต่สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ แล้วนี่มันสมณะอะไรของมัน มันไม่รู้วิธีการดับทุกข์ มันเป็นสมณะได้อย่างไร

ถ้าเป็นสมณะ วิธีการดับทุกข์ คนทำงานมาต้องรู้วิธีการ คนเรามีการกระทำขึ้นมา คนเราสะสมบุญญาธิการขึ้นมา สิ่งที่เราทำขึ้นมา เราจะบอกไม่ได้หรือ เราจะเป็นผู้ชี้นำ นี่สัปปายะ ๔ แล้วครูบาอาจารย์สำคัญ สำคัญตรงไหน ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ที่รู้จริง ไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำ แล้วเราเป็นสาวก-สาวกะที่ดิ้นรนกันอยู่นี่ มีความศรัทธามีความเชื่อ ความเชื่อมากศรัทธามาก ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งในกึ่งพุทธกาล แล้วเราก็เกิดมากึ่งพุทธกาลที่ศาสนากำลังเจริญ เจริญในหัวใจนะ อย่าไปมองโลก ตึกรามบ้านช่องสิ่งต่างๆ ที่เป็นวัตถุขึ้นมา มันจะเจริญขนาดไหน เดี๋ยวนี้เขาประกอบขึ้นมาเป็นชิ้นเป็นอัน ประกอบขึ้นมาเป็นหลังๆ เลย สบายมาก นี่เรื่องของโลกเขา ไม่ต้องไปสนใจ เพราะเรื่องของโลกมันเป็นเรื่องของอนิจจัง มันเป็นเรื่องของสิ่งที่เป็นความชั่วคราว

แล้วที่มันเจริญ มันเจริญตั้งแต่หัวใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ถ้าไม่เจริญ ไม่มีความรู้จริง เอาอะไรมาสอน แล้วเวลาสอนลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมาเป็นหลักเป็นชัยในศาสนา จนให้พวกเราตื่นตัวว่าธรรมะมีจริง ธรรมะสิ่งที่ทำข้ามพ้นพรมแดนการเกิดและการตาย

นี่มันจนตรอกนะ จนตรอกเพราะอะไร “ผีก็ไม่มี ตายแล้วก็ตายสูญ เกิดอีกก็ไม่มี” แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติไปมันเห็นการเปลี่ยนแปลง มันเห็นการทำลาย มันเห็นจิตที่ข้ามพ้นพรมแดน พรมแดนแต่ละชั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันเป็นพรมแดนพรมแดนหนึ่งแน่นอนเลย

ความว่างของพระโสดาบัน พระโสดาบันมีความรู้สึกอย่างไร พระโสดาบันทำอะไรขาดออกไป สิ่งที่ใช้หนี้คืนเขาไปแล้วมันเป็นโสดาบันมา พรมแดนของมัน ขอบเขตมันเป็นอย่างไร พระสกิทาคามี สิ่งที่ทำลายกิเลสอุปาทานในหัวใจแล้วโลกนี้ราบหมด สิ่งที่มันเป็นอิสรภาพขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง มันทำลายอย่างไร แล้วเหตุผลมันเป็นอย่างไร แล้วเป็นพระอนาคามี มันทำอย่างไรถึงเป็นพระอนาคามีขึ้นมา เพราะอะไร เพราะสิ่งที่เป็นพระอนาคามีขึ้นมามันต้องทำลายกามราคะ มันต้องทำลายความหลงของใจ

ใจนี้มันหลงมาก ดูสิ ขณะที่เป็นปุถุชน ความคิดฟุ้งซ่าน เราอาศัยมันประคองไปนะ จิตมันอยู่ด้วยตัวมันเองไม่ได้เลย มันต้องมีสิ่งใดเป็นสิ่งที่มันเกาะแสดงตัวมันตลอดเวลา แล้วเวลามันอยู่เฉยๆ ของมัน เราก็งง จิตนี้เป็นอย่างไร ธรรมะนี้เป็นอย่างไร เวลาอ่านพระไตรปิฎก ศึกษาพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกว่าเป็นอย่างนั้นๆ ก็ว่าเป็นอย่างนั้นตามไป...นี่มันเป็นการคาดหมาย ธรรมะด้นเดา เดาไปอย่างนั้น มันไม่เป็นความจริงหรอก

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เห็นสัจจะความจริงขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แล้วสิ่งที่มันเป็นกามราคะ ตัวมันเองที่เป็นกาม มันอาศัยอะไรถึงเป็นกาม ความคิดหยาบๆ อย่างนี้ สิ่งที่จิตมันป่วย มันเกาะแสดงตัวไปอย่างนั้น แล้วสิ่งที่มันเป็นกามราคะ ตัวเองเป็นกาม สิ่งที่เป็นกามราคะที่สร้างขึ้นมา จิตมันเกาะเกี่ยวอย่างไร มันละเอียดลึกลับอย่างไร แล้วมันมีแรงต้านอย่างไร มันทำอย่างไรถึงให้มนุษย์ต้องเกิดต้องตาย ทำไมเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะต้องเป็นขี้ข้าของมัน

ทำอย่างนี้เพื่อใจดวงนี้เท่านั้นแหละ ด้วยความต้องการ ด้วยความแสวงหา ยอมจำนนกับมันทุกอย่าง ยอมจำนนหมดเลย สิ่งที่แสวงหามาก็เพื่อมันทั้งนั้นเลย เพื่ออะไร? เพื่อจะมาเกิดมาตาย เพื่อมีสมบัติ เพื่อมีตระกูล เพื่อรักษา เพื่อทั้งนั้นเลย แล้วถ้ามันจะทำลายตรงนี้ มันจะทำลายอย่างไร

สิ่งที่เป็นไป วิธีการดับทุกข์ เห็นไหม แล้วครูบาอาจารย์ชี้นำอย่างนี้ เพียงแต่เราทำกันไม่ถึง เราทำกันไม่ได้ ศรัทธามี ศรัทธามีแล้วทำอย่างไรให้มันเป็นไปล่ะ? มันก็ต้องมีความตั้งใจสิ ความตั้งใจของเรา เราทำของเราขึ้นมา ให้มีศรัทธาความเชื่อ เห็นไหม ทำลายมันให้ได้ สิ่งที่เป็นพรมแดนเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

สิ่งที่ทำขึ้นมา ถ้ามันย้อนออกไป จิตตั้งมั่นให้ได้ ถ้าจิตมันตั้งมั่น มันมีกำลังนะ พอมีกำลังขึ้นมา มันจับพลัดจับผลู ถ้าเริ่มต้น เหมือนเราสนเข็ม เวลาเราสนเข็มนะ ถ้าด้ายมันใหญ่แล้วจะสนเข้าไปในเข็มได้อย่างไร เข็มรูเล็กๆ เข็มกับด้ายก็ควรจะสมดุลต่อกัน แล้วเวลาที่จิตมันสมดุล จิตที่มันมีหลักมีเกณฑ์ เราจะต้องวิปัสสนา ถ้าเป็นเวทนา เวทนามาจากไหน นี่ถ้าจิตสงบมันปล่อยหมด เห็นไหม เวทนาไม่มีหรอก จิตที่มันคลายออกมา ขณะที่ร่างกายเราแข็งแรง เราจะยกสิ่งของใดๆ ก็ได้ เราจะทำอะไรก็ได้ เพราะร่างกายแข็งแรง แต่ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สิ่งใดๆ เราก็ทำไม่ค่อยได้ เราก็ยกขึ้นไม่ไหวเหมือนกัน

จิตถ้ามันมีกำลัง มันเป็นสมาธิขึ้นมา เวทนาไม่เกิดหรอก แต่ถ้ามันย้อนออกมาดู เช่น ครูบาอาจารย์ท่านนั่งตลอดรุ่ง ถ้า ๔-๕ ชั่วโมง หลานเวทนามันมา วิปัสสนาไป เวทนาเป็นอะไร เวลานั่ง เวทนามีขนาดไหนก็แล้วแต่ มีสัจจะ มีความจริง ต่อสู้ไปตลอดเวลา เห็นไหม ถึงที่สุดมันแยก มันแบ่ง ปัญญามันจะใคร่ครวญ อะไรเป็นเวทนา สิ่งที่เป็นเวทนา ร่างกายก็นั่งอยู่นี่ แล้วความเป็นไปมันเป็นอย่างไร นี่มันแยก มันแยกไปเรื่อยๆ เห็นไหม กำลังมันสุดๆ ต้องใช้กำลังอย่างมหาศาลเลย ถ้ามันปล่อยได้ หลานเวทนามันดับ มันสงบตัวลง จิตเป็นจิตนะ

นี่เวลาแยกไป เวทนาเป็นเราหรือ เวทนาไม่เป็นเราหรอก ร่างกายเป็นเวทนาหรือ ในธาตุอะไร ในเอ็น ในกระดูก ในเนื้อ ในหนัง ในเส้นผม ในขน ในรูขุมขน ในอากาศ ในกระดูก มันเป็นเวทนาไหม? ไม่มีอะไรเลย มันเป็นสักแต่ว่าของมัน แต่เพราะจิตของเรามันเสื่อมออกมา มันคลายตัวออกจากสมาธิ มันก็ไปรับรู้สิ่งนั้น แต่มันมีกำลังของสมาธิ มันก็ไปแยกแยะๆๆ แยกออกไป ไล่ต้อนมันไป ไล่ต้อนความคิด เพราะอะไร เพราะจิตมันโง่ จิตมันหลง

จิตเดิมแท้ จิตก่อนที่มันสงบ มันอาศัยความคิดเป็นที่อยู่อาศัย ขณะที่มันปล่อยความคิดเข้ามา มันเป็นตัวของมันเอง พอมีกำลังขึ้นมา แล้วมีวาสนา ย้อนไปที่เวทนา มันเป็นกำลังของจิต มันเป็นวาสนาของเรา มันเป็นสิ่งที่เป็นสภาวธรรม เพราะจิตสงบ จิตมันมีกำลัง แล้วมันต่อสู้กับเวทนา

ทีนี้เวทนา เวทนามันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ เวทนามันเกิดจากซากศพหรือ มันเกิดจากธาตุขันธ์หรือ? ไม่ใช่เกิดจากอะไรทั้งสิ้นเลย เกิดจากจิต จิตนี้มันไปรับรู้ พอจิตไปรับรู้ จิตมันก็อ้างไปเรื่อย “เวทนาเป็นเรา เวทนาเป็นผม เวทนาเป็นลม เวทนาเป็นเพราะเรานั่งไว้นาน พอนั่งนานแล้วเลือดลมมันไม่เดิน มันก็เป็นเวทนา”...มันอ้างอย่างไรก็ไล่มันไป ไล่มันไป ปัญญาไล่มันไป เห็นไหม นี่ปัญญา ปัญญาในการต่อสู้ เป็นปัจจุบันธรรม

ขณะที่จิตมันหลง จิตมันหลงแล้วมันอ้างอิง มันอ้างธรรมะ อ้างว่ารู้ เห็นไหม นี่อธิปไตย สิ่งที่เป็นพรมแดน ขอบเขตของความปวด ขอบเขตของเวทนา ขอบเขตของความโง่ ไอ้จิตมันโง่ มันอยู่ใต้ขอบเขตของมัน แล้วอวิชชาเอาสิ่งนี้มาหลอกใช้เรา มาหลอกให้มีขอบเขต ขอบเขตของการจะก้าวล่วง

ถ้าเราวิปัสสนา เราใช้กำลังของเรา เวลามันไล่ขึ้นไป ขอบเขตของพรมแดนอยู่ตรงไหน ขอบเขตของเวทนามันรู้สึกอย่างไร ไล่กันไป ไล่ของมันไป สิ่งที่มันเป็นเวทนามันปวดอย่างไร ใครเป็นคนปวด ไล่ไปจนถึงที่สุดแล้ว พรมแดนของเรามันเป็นการสมมุติกันขึ้นมา

สิ่งที่เกิดเป็นประเทศชาติ เมื่อก่อนตั้งแต่เราเสียดินแดนไปกี่คราวๆ นี่ก็เหมือนกัน มันไปยึดว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา ยึดว่าเป็นของเรา แล้วมันไล่เข้าไปแล้วมันไม่มีอะไรเลย...ก็จิตมันโง่ จิตมันโง่ พอปัญญาไล่ทันพร้อมกับสัมมาทิฏฐิ พร้อมกับความเห็นถูกต้อง มันจะปล่อย เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกๆ แยกออกแล้วมันก็ปล่อย ปล่อยเฉยๆ เป็นตทังคปหาน จิตมันก็สงบ รวมลง มีความสุขมาก คิดว่าเราข้ามพ้นพรมแดน นี่คิดว่าไง “คิดว่า” นี้ไม่เป็นความจริง

ถ้าเป็นความจริงนะ พอมันคลายตัวออกมา เวทนาอยู่ไหน ปวดอีกแล้ว หลานเวทนามา เพราะอะไร เพราะเราผ่านความรู้สึกอันหนึ่ง ผ่านเวทนาอันหนึ่ง ผ่านขอบใจของเราอันหนึ่ง เราว่าสิ่งนี้มันถูกต้องแล้ว เสร็จแล้วนะ ขณะที่คู่กรณีกำลังใช้ปัญญาใคร่ครวญซึ่งหน้า มันก็ยอมรับ พอปัญญามันใช้ใคร่ครวญไปแล้วมันเป็นตทังคปหาน จิตมันรวมลงแล้วมันคลายออกมา ปัญญามันใช้ไปแล้ว มันเหมือนผู้เสียหายที่ไม่มีใครเข้ามาควบคุม มันก็พาลอีกแล้ว เวทนาอีกแล้ว ปวดอีกแล้ว ปวดอีกแล้ว ถ้าปวดอีกขึ้นมา ใครจะสู้กับมันอีกล่ะ ถ้าจิตสงบขึ้นมาก็ไล่กันอีก ไล่กันต่อไป เห็นไหม

สิ่งที่มันใคร่ครวญกันไปแล้ว มันก็เห็นแล้วว่าเวทนาเป็นเวทนา แล้วก็ปล่อยไปแล้ว แล้วเวทนาทำไมมันเกิดอีกล่ะ มันเกิดอีกเพราะอะไร เพราะมันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว มันไม่เป็นสัจจะความจริง มันเป็นการชั่วคราว ขณะจิตของมันไม่เป็นไป นี่ซ้ำเข้าไป วิปัสสนา มันก็แยกออกไปๆ เพราะหลานเวทนาที่เราใคร่ครวญมา เราเห็นของมันอยู่แล้ว ถ้าเราใช้ปัญญาอย่างนี้มันก็ยอมแพ้เราได้ เห็นไหม จากจิตที่มันโง่ๆ มันก็ฉลาดขึ้นมาได้ ฉลาดขึ้นมาด้วยสัจจะความจริง ด้วยวิปัสสนาญาณ ด้วยการใช้ปัญญาใคร่ครวญออกไป สิ่งที่ใคร่ครวญออกไป มันเห็นสัจจะความจริงของมัน มันก็ไล่ต้อนเข้าไป

สิ่งที่มันโง่หนหนึ่ง พอมันโง่ มันใช้ปัญญาหนหนึ่ง มันก็ปล่อยได้หนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ไล่เข้าไป ถ้าเราไม่สู้ ใจเราไม่เป็นความจริงนะ มันก็อ่อน มันก็แพ้เวทนา ถ้าเราจะนั่งตลอดรุ่ง เราจะไม่ยอมแพ้มัน ก็กลับมาพุทโธๆๆ หลบเอากำลัง ต่อสู้กันไป ต่อสู้กับมัน ถึงที่สุดแล้วปัญญามันเกิดได้ ถึงที่สุดแล้ว คนเราถ้าถึงวิกฤติขึ้นมา มันมีทางออกของมันด้วยสัจจะความจริง เห็นไหม

เพราะเราไม่มีหลัก ไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริง ถึงที่สุดแล้วเรากลัวพิการ เรากลัวเป็นไป มันหลอกมาทั้งนั้น นี่จิตเวลามันหลอก มันหลอกขนาดนั้นนะ แต่ถ้าเราใคร่ครวญถึงที่สุดแล้วมันไม่เป็นไป มันไม่มีสิ่งใดๆ ที่มันจะเป็นสัจจะความจริงหรอก มันเป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ

ถ้าเรามีสัจจะความจริง นี่เป็นสมมุติ เราเอาอะไรไปแก้สมมุติล่ะ? มันก็ต้องมีปัญญาสิ ปัญญาเป็นธรรมที่ไปแก้สมมุติ ไล่ต้อนเข้าไป ถ้ากำลังพอถึงที่สุด ถ้ามันเป็นไป มันต้องปล่อยอีก แม้แต่ลูกเวทนาก็ต้องขาดออกไป มันปล่อยนะ มันปล่อยขึ้นมา ปล่อย มันก็รวมลง เห็นไหม ถ้ารวมลง ถึงที่สุดนะ ถ้ามันขาด มันขาดเลย เวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์...ขาด ถ้าขาด มันจะเข้าใจว่าขาด เพราะขาดขึ้นมามันจะมีความสุขมาก

พรมแดนหนึ่งโดนทำลายไปนะ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ แล้วจิตมันไปไหน ไอ้ผู้ที่รู้ไปไหนล่ะ? มันทำลายพรมแดนอันนี้ไป มันทำลายตัวตน ทำลายความเห็นผิด ทำลายเวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา เวทนาไม่มีในเรา เราไม่มีเวทนา ไม่มีสิ่งต่างๆ ทั้งสิ้น แต่มันต้องให้เป็นความจริง ถ้าเราวิปัสสนา เห็นไหม

ดูสิ ที่เราปฏิบัติกัน ที่มันไม่ได้ผล ที่มันทำไป เวทนาเราเคยสู้ได้ เราสู้เป็นครั้งเป็นคราว เราทำไม่ต่อเนื่อง ภิกษุเราเป็นนักรบ เราปฏิบัติกันตลอดชีวิต ตั้งแต่ตั้งสัจจะ อดนอน ผ่อนอาหาร ภาวนาตลอด ๒๔ ชั่วโมงเลย แล้วไล่ต้อนกัน มันปล่อยหนหนึ่ง มีกำลังขึ้นมา ซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป อย่าชะล่าใจ ชะล่าใจไม่ได้

เพราะถ้ามันมีเหตุผล ถ้าเป็นขณะจิตที่มันปล่อยนะ ถ้ามันขาดออกไป สังโยชน์ขาดออกไป ความลังเลสงสัยในธรรมไม่มี เห็นไหม นี่พรมแดนของโสดาบัน เกิดอีก ๗ ชาตินะ ถ้ายังเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็ยังเกิดยังตายอยู่ ยังเกิดมาอยู่ ถ้าทำลายเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป ถ้าวิปัสสนาเข้าไป ข้างบนขึ้นไป จิตมันจะย้อนขึ้นไป ถ้าให้ความสงบของใจขึ้นมา จิตมันสงบ ต้องมีความละเอียดขึ้นไป กำลังของสมาธิ เห็นไหม สติ-มหาสติ ปัญญา-มหาปัญญา

นี่ก็เหมือนกัน ใช้ใคร่ครวญเข้าไป วิปัสสนาเข้าไปนะ ถ้ามันเป็นเวทนาก็ซ้ำเวทนา ถ้ามันเป็นกายก็ซ้ำกาย ถ้าเป็นจิตก็ซ้ำจิต ถ้าเป็นธรรม ธรรมคือความรู้สึก ความคิด ขันธ์ ๕ ขันธ์อันละเอียด ขันธ์อย่างกลาง มันเป็นไปอย่างไร มันหลอกล่ออย่างไร มันเอาอะไรมาเป็นเหยื่อให้หัวใจนี้ออกรับรู้ ออกรับรู้ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...สิ่งนี้เป็นธรรมทำไมข้างบนไม่รู้เรื่อง สิ่งนี้เป็นธรรมครบวงจรของมัน วิธีดับทุกข์มันเป็นขั้นเป็นตอนขึ้นมา

ได้แค่หนหนึ่งจะสิ้นกิเลส เป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้ เวลาจิตคลายออกมามันมีความรู้สึกอะไรล่ะ เห็นไหม ถ้ามันทำซ้ำเข้าไป ซ้ำเข้าไป ถึงที่สุดมันขาด ขาดออกไป นี่พรมแดน ทำลายพรมแดน ข้ามพ้นพรมแดน ถึงที่สุดทำลายพรมแดนเข้าไป นี่สกิทาคามี แล้วย้อนขึ้นไป ย้อนไม่ได้นะ เพราะไม่เห็นพรมแดน

ดูสิ เวลาขึ้นไปในอวกาศ แผนที่ทางอากาศ นี่แค่ไหนของมัน พิกัดของแผนที่อากาศเป็นอย่างไร สิ่งต่างๆ เป็นอย่างไร มันต้องทำความเข้าใจ เพราะเวลาเราอยู่ในพื้นที่ เราก็จะรู้ว่าขนาดไหนของเรา แต่ขณะที่เราขึ้นไปอยู่ในที่สูง จิตมันสูงขึ้นมา แล้วพื้นที่เราอยู่ตรงไหน พื้นที่ของเรา แผนที่อยู่ตรงไหน

ถ้ามันจับพื้นที่ได้ มันหาแผนที่ได้ มันก็หาจำเลยได้ หาผู้ผิดได้ หาผู้ที่หลงใหลในดินแดนของตัวเอง แล้วก็หลงใหลคนอื่น นี่กามราคะ วิปัสสนาเข้าไปนะ นี่เป็นกาม สิ่งที่เป็นกามมันทำลายหัวใจมาก ทำลายหัวใจมากเลย ทำลายหัวใจเพราะสิ่งนี้มันทำให้เราทุกข์ ถ้าเราทำลายตรงนี้ มันจะเบาลงมากนะ เพราะอะไร เพราะตัวนี้ทำให้ถูลู่ถูกัง

เวลาทำลายกามภพ ตั้งแต่เทวดาลงมานะ ดูสิ จิตที่เสพกาม สถานที่ในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพนี่ตั้งแต่เทวดาลงมา รูปภพ อรูปภพตั้งแต่พรหมขึ้นไป พรหมปุถุชนก็มี แต่ถ้าทำลายตรงนี้ปั๊ปมันเป็นอนาคามี ๕ ชั้น แล้ววิปัสสนาซ้ำเข้าไปๆ ซ้ำเพื่อทำลายเศษส่วน อนาคามี ๕ ชั้น ทำลายสิ่งที่มันเป็นความเทียบเคียงในหัวใจ มันจะปล่อยซ้ำปล่อยซาก ปล่อยแล้วปล่อยขาดไปบ่อยๆ นะ ขาดคือว่าความละเอียดของใจเข้าไปนะ ว่างหมดเลย จนจับต้องสิ่งใดๆ ไม่ได้ เห็นไหม

สิ่งที่เป็นอวกาศ เป็นจักรวาล มันไปจากไหนล่ะ? มันไปจากโลกนี้ จากที่เราเป็นศูนย์กลาง ดูสิ โครงการอวกาศเขายิงไปจากไหน? เขายิงไปจากโลก เขาควบคุมอย่างไร สถานีควบคุมยานอวกาศ สถานีควบคุมมันอยู่ที่นี่ อยู่บนโลกนี้ โลกนี้ควบคุมมัน นี่ก็เหมือนกัน มันอยู่ที่จิตนี้ จิตนี้มันจะว่างขนาดไหน มันเห็นตัวมันเองไม่ได้หรอก สถานีควบคุมขนาดนี้ แล้วมันบังคับบัญชาสั่งให้ยานอวกาศทำลายพื้นที่ในโลกนี้ จะทำลายตรงไหนก็ได้ การศึกการสงครามต่อไป เห็นไหม สงครามอวกาศ เขาถึงแย่งชิงกัน เพราะโลกมันหมุนไป แล้วมันทำลายมาจากข้างนอก

นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้ามันว่างหมด มันไม่เห็นตัวมันเอง มันโดนสิ่งที่ปกคลุมไว้ สิ่งที่ปกคลุมไว้ถ้าย้อนกลับมาล่ะ ย้อนกลับมาเป็นอรหัตตมรรค

“โมฆราช เธอจงดูโลกนี้เป็นความว่าง แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิ”

ถอนไอ้ศูนย์ควบคุม ถอนไอ้ตัวจิต ทำลายตัวนี้ เห็นไหม นี่ธรรมะไร้พรมแดน เพราะอะไร เพราะไม่มีจิตปฏิสนธิ ตัวจิต ตัวศูนย์ควบคุม เห็นไหม “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส” นี่ธรรมธาตุ ไร้พรมแดนนะ มันจะไร้พรมแดน มันต้องทำลายสถานที่ตั้ง สถานที่เป็นพรมแดน สถานที่เป็นการแบ่งเขตการเกิดและการตาย

ในจักรวาลนี้มันเป็นทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าในธรรมะ เห็นไหม ในวัฏฏะ เพราะในวัฏฏะ จักรวาลพิสูจน์กันด้วยวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเป็นวัฏฏะ เห็นไหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ กามภพตั้งแต่เทวดาลงมา เทวดา อินทร์ พรหม ตั้งแต่ เปรต นรก อสุรกาย มันเห็นๆ มันมีไง มันเป็นไป มันอยู่กับโลกนี้ นี่กามภพ

รูปภพ เห็นไหม พรหมที่มีรูป พวกฤๅษีชีไพร พวกที่ปฏิบัติโดยอวิชชา การปฏิบัติโดยเจ้าลัทธิ ตั้งแต่พวกฤๅษีชีไพร พวกเดียรถีย์ พวกนิครนถ์ ถ้าเป็นการปฏิบัติควบคุมจิตไว้เฉยๆ นี่เกิดบนพรหม ไม่ได้ไปไหนหรอก เขาไม่ได้ทำลายของเขาเลย เรื่องพรมแดน เรื่องสิ่งต่างๆ ไม่ได้แตะต้องเลย ไปถนอมมันไว้ ไปกดมันไว้ ไปรักษาไว้เฉยๆ เพราะพอจิตสงบเข้ามา เข้าสมาบัติ นิ่ง ว่าง ว่างอยู่อย่างนั้น เข้าฌานสมาบัติ สิ่งต่างๆ ว่าง นี่เกิดเป็นพรหมเพราะอะไร เพราะมันไม่มีมรรค

แต่ถ้าเป็นมรรค เห็นไหม เวลาทำ กามภพ รูปภพ อรูปภพ...รูปภพ ผู้ที่ทำตกภวังค์ นี่พรหมลูกฟัก พรหมลูกฟักนี้เป็นหัวตอ พรหมลูกฟักนี่อสัญญีพรหม อสัญญีพรหมอะไรไปเกิด? ก็ไอ้ตัวจิตนี่แหละ ไอ้ตัวภพนี่แหละ ไอ้ตัวพรมแดน สิ่งที่เป็นพรมแดนมันไปเกิด แต่มันเป็นอรูปภพ ความรู้สึกของจิต อรูปภพ แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ มันก็เหมือนที่เราไม่เห็นภูตผีปีศาจ เราไม่เห็นเทวดา อินทร์ พรหม แต่ทำไมผู้ที่มีตาในเขาเห็นหมดล่ะ ทำไมพวกเทวดา อินทร์ พรหมเขาเห็นของเขาเองล่ะ ในพระไตรปิฎกทั้งตู้ พระพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า เทวดา อินทร์ พรหม เป็นอย่างนั้นๆ

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเป็นอรูปพรหม สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น เขาเห็น เขารู้ของเขา มันเป็นสถานที่อยู่ของเขา นี่ภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วถ้ามันทำลายหมด มันอยู่ที่ไหน? นี่ไง มันไร้พรมแดน ไม่มีสิ่งใดๆ เลย นี่วิมุตติสุข นี่ธรรม ธรรมไร้พรมแดน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้อยู่ที่โคนต้นโพธิ์

“ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล”

แล้วกระทำกันมันเป็นมรรคไหม มันเป็นมรรคก็มรรคของกิเลสทั้งนั้นน่ะ ดูสิ พวกเดียรถีย์ไปไหนกัน ถ้าทำเป็นฤๅษีชีไพร ถ้าทำความสงบได้ก็เกิดเป็นพรหมทั้งนั้น อยู่ในวัฏฏะนี่ แล้วจะทำอย่างไรให้พ้นจากวัฏฏะ

วิวัฏฏะ จะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว จะไม่กลับมาอยู่ในวัฏฏะนี้แล้ว ไม่มีสถานที่ตั้ง ไม่มีพรมแดน ไม่มีจิตเดิมแท้ ไม่มีสิ่งต่างๆ ที่จะให้มารควบคุมอยู่ ที่จะต้องกลับมาตายมาเกิดอีก มันไม่มี

ถ้ามันไม่มี มันไปจากไหนล่ะ? มันก็ไปจากไอ้จิตโง่ๆ ไปจากจิตที่ไม่รู้อะไรเลย แต่มีสัปปายะ ๔ มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเราประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบเราไง ตรวจสอบให้เป็นความจริง หมู่คณะเราเห็นอกเห็นใจกัน ทุกคนก็ทุกข์ทั้งนั้น ทุกคนก็ปรารถนาจะพ้นทุกข์ เวลาเราปรึกษากัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เราปรึกษากันแต่เรื่องสัลเลขธรรม การมักน้อยสันโดษ เพื่อไม่ให้กิเลสมันอ้วน ให้กิเลสมันผอมๆ นี่มักน้อยสันโดษ เห็นไหม แล้วโลกว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์นี้เป็นเรื่องความเห็นของโลกเขานะ แต่มันเป็นวิธีการ เห็นไหม ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วนี่เป็นวิธีการดับทุกข์ มันเป็นเครื่องมือ มันเป็นสิ่งที่เราจะไปต่อสู้กับกิเลส แล้วเราจะบอกว่าทุกข์ได้อย่างไร แล้วเราจะไปปฏิเสธได้อย่างไร

ความเห็นของเรา นี่ในหมู่คณะ อาหารเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะไม่ใช่นึกว่าอาหารต้องมีคุณค่าอย่างนั้น...ไม่ใช่

อาหารเป็นสัปปายะ หมายถึง อาหารที่ฉันแล้วไม่ง่วงนอน ฉันแล้วประพฤติปฏิบัติพอประมาณ ประพฤติปฏิบัติได้

อาหารเป็นสัปปายะคือสิ่งที่ฉันแล้วโล่งๆ แล้วประพฤติปฏิบัติดี

ไม่ใช่เป็นสัปปายะต้องใช้ทางวิทยาศาสตร์มาวิจัยว่าอาหารอะไรเป็นสัปปายะ อาหารอะไรกินแล้วมันก็ถ่ายเหมือนกันทั้งนั้น อาหารอะไรกินเข้าไป ถ้ามันจะดีขนาดไหน ถ้ากินมากมันก็ง่วงนอนทั้งนั้น สิ่งที่อาหารเป็นสัปปายะ เราก็รักษาของเราขึ้นมา นี่สัปปายะ ๔ แล้วมันมีหรือไม่มีล่ะ เราจะเอาโง่หรือฉลาดล่ะ

สังคมของเราถ้าเป็นสังคมที่ดี สังคมในหัวใจ คบธรรมะ ถ้าจิตมีคุณธรรม จิตที่มันดีมันจะคบธรรม แล้วจะไม่เสื่อมถอย ถ้าจิตมันเป็นกิเลส มันจะคบยาเสพติด มันจะคบสิ่งที่เป็นโลกๆ แล้วมันจะคบสิ่งที่เป็นความพอใจ แล้วมันก็จะเสื่อมถอย ประพฤติปฏิบัติไป แต่อยู่กับสิ่งเสพติดมันก็ไม่เป็นธรรม ถ้าอยู่กับธรรมนะ ธรรมกับโลกอยู่กับใจเรา เราจะพลิกเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่เป็นประโยชน์นั้นเป็นความเห็นของเรา เอวัง